หลัง “ถอดเล็บ” ดูแลอย่างไร นานแค่ไหนกว่าเล็บจะงอก
ซื้อหวยออนไลน์ เว็บไหนดี มาที่นี้เลย เว็บหวยออนไลน์จ่ายจริง.com 900/95
ทำไมถึงต้องถอดเล็บ มีขั้นตอนอย่างไร และดูแลหลังถอดเล็บอย่างไร ใส่รองเท้าแบบไหนได้บ้าง สารพัดเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการถอดเล็บ เรามีคำตอบมาฝากกัน
ถอดเล็บ เป็นวิธีรักษาทางการแพทย์โดยการตัดเล็บบางส่วนหรือถอดเล็บ ที่มีการติดเชื้อ หรือได้รับบาดเจ็บบริเวณเล็บอย่างรุนแรงออกทั้งหมด เช่น เล็บฉีกขาด เล็บขบ ซึ่งจะใช้เวลาไม่นานในการรักษา แต่สำหรับเล็บที่งอกใหม่ตามธรรมชาติอาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
ทำไมต้องถอดเล็บ
การถอดเล็บ เป็นวิธีการรักษารูปแบบหนึ่งหากผู้ป่วยมีอาการปวดหรือติดเชื้อรุนแรงบริเวณเล็บ คุณหมออาจต้องรักษาด้วยการถอดเล็บ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เล็บงอกใหม่และแข็งแรงขึ้น
สาเหตุที่อาจต้องรักษาด้วยการถอดเล็บ มีดังนี้
- เล็บขบ
- เกิดการบาดเจ็บที่เล็บ หรือเล็บฉีกขาดอย่างรุนแรง
- เล็บเกิดการติดเชื้อ โดยมีอาการบวมแดง มีหนอง มีกลิ่นเหม็น เจ็บปวด และมีไข้
- เล็บหนา (Onychogryphosis) ที่อาจเกิดจากความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด โรคสะเก็ดเงิน หรือการใส่รองเท้าที่คับแน่นเกินไป
ขั้นตอนการถอดเล็บ
ก่อนเริ่มการรักษาด้วยวิธีถอดเล็บ คุณหมอจะฉีดยาชาเฉพาะที่เพื่อทำให้บริเวณที่ต้องการรักษาชา และล้างทำความสะอาดบริเวณที่ต้องทำการรักษาด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ
จากนั้น เมื่อบริเวณเล็บเริ่มชา คุณหมอจะทำการถอดเล็บออกทั้งหมดหรืออาจถอดเล็บเพียงบางส่วน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการพิจารณาของคุณหมอ
หลังจากถอดเล็บเรียบร้อย คุณหมอจะทายาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้ง และปิดแผลด้วยผ้าพันแผล นอกจากนี้ คุณหมออาจสั่งยาปฏิชีวนะให้ผู้ป่วยเพื่อใช้รักษาแผลที่บ้าน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการถอดเล็บ
ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากการถอดเล็บได้ ดังนี้
- การติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นหลังหรือระหว่างการรักษา
- การติดเชื้อราที่เล็บ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในผิวหนังใต้เล็บเมื่อเล็บงอกมาใหม่
- ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic Contact Dermatitis) ซึ่งอาจเกิดจากการแพ้ยาที่ใช้ในการรักษา
- เล็บเท้าผิดรูป ในบางคนเล็บเท้าอาจงอผิดรูป หรือเล็บอาจไม่งอกใหม่
- ผู้ป่วยที่เป็นเล็บขบ หลังจากการรักษาอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
การดูแลแผลหลังถอดเล็บ
หลังจากการถอดเล็บ ผู้ป่วยควรทำตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และใช้ยาตามใบสั่งแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ดังนี้
- ใช้น้ำอุ่นหรือดีเกลือฝรั่ง (Epsom Salt) ล้างรอบแผลวันละ 2 ครั้ง
- กินยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หากมีอาการปวดหรือบวม
- ทายาปฏิชีวนะตามใบสั่งแพทย์ และในช่วงสัปดาห์แรกหลังการรักษาให้ปิดแผลด้วยผ้าพันแผล จนกว่าแผลจะสมานตัว
- เมื่อแผลเริ่มสมานตัว ผู้ป่วยอาจเปิดผ้าพันในเวลานอน เพื่อไม่ให้แผลอับชื้น
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ออกแรงกดบริเวณเล็บ
- สวมรองเท้าเปิดนิ้วเท้า หรือรองเท้าที่ไม่รัดแน่น
ส่วนใหญ่หลังจากการถอดเล็บภายในไม่กี่สัปดาห์ แผลจะสมานตัวและอาการเจ็บปวดบริเวณแผลจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่สำหรับเล็บที่งอกใหม่อาจต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล